ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อกาลิโก

๑o เม.ย. ๒๕๕๓

 

อกาลิโก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เดี๋ยวมีปัญหาอะไรให้พูดมานะ ตอนนี้เราอารัมภบทก่อน เพราะว่ามันมีข่าวเข้ามาบอกว่า หลวงตาโทรศัพท์มาบอกว่า พระสงบห้ามพูดวิจารณ์ห้ามพูดถึงบุคคลอื่น นี้เราจะบอกว่า มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเข้าใจหลวงตาดี ถ้าเป็นหลวงตานะจะบอกคนจะเตือนคนต่อเมื่อคนๆ นั้นตาบอด คนตาบอดนี้เราต้องบอก เราต้องชักนำเพราะคนตาบอดมันทำความเสียหาย มันเดินไปไหน มันจะทำความเสียหาย แล้วพูดถึงคนตาบอดเห็นไหม เดินไปชนสิ่งใด ยังไม่รู้สิ่งนั้น ชนแล้วนะ ชนอะไรก็แล้วแต่ยังไม่รู้ว่านั่นคืออะไรเลยนะ เพราะตามันบอด แต่คนตาดีนะ หลวงตาท่านรู้ว่าเป็นคนตาดี เราเป็นคนตาดี สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเราเดินไปแล้วจะเป็นภัยเป็นโทษ คนๆ นั้นคนที่ตาดีจะเข้าไปเหยียบหนามไหม ถ้าจะไปเหยียบหนามเหยียบไฟนี้คนตาดีจะหลบจะหลีก สิ่งใดถ้าเป็นประโยชน์ คนๆ นั้นจะทำ

ฉะนั้นพวกคนตาดีนี้หลวงตาไม่ต้องบอกหรอก ว่าควรทำอย่างใดและไม่ควรทำอย่างใด แต่ถ้าคนตาบอดนั้นต้องบอก ถ้าคนตาบอด ต้องบอกเลย ควรทำอย่างนั้นและไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นคนตาดีแล้ว ถ้าไปบอกนี่มัน... เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสิ่งนี้มันเป็น อกาลิโก เวลาแสงสว่างขึ้นมานั่นเป็นอกาลิโก ดวงอาทิตย์นี้เป็นอกาลิโก แต่ดวงอาทิตย์นี้มันยังมีวันมอดนะ มันยังมีวันดับเพราะดวงอาทิตย์นี้ทางวิทยาศาสตร์วิจัยมาแล้วว่า อีกกี่ร้อยล้านปีดวงอาทิตย์นี้จะดับ ธรรมดาของมัน แม้แต่สิ่งนี้ยังดับ แต่ถ้าเป็นธรรม มันมีแสงสว่างขึ้นมาในใจแล้วเห็นไหม อกาลิโก ไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา

คำว่าไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา ผู้ที่เป็นธรรมนะ อย่างเช่นหลวงตาท่านเป็นธรรม ท่านรู้ของท่าน ขนาดเราไม่มีคุณธรรมในหัวใจเลย เรายังรู้เลยว่าเราทุกคนเกิดมาต้องตายหมด ถ้าต้องตายหมดแล้วเราจะอยู่ค้ำฟ้าหรือ เราจะอยู่คอยบอกคนโน้นคนนี้ตลอดไปหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าใครหูตาสว่างขึ้นมา คนนั้นก็จะทำประโยชน์ของเขา อันนั้นมันก็เป็นประโยชน์ของเขานะ อย่างเช่นมีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมา มุมมองของคนมันแตกต่างหลากหลาย คนๆ หนึ่งบอกว่าสิ่งนี้ควรเข้าไปช่วยเหลือ บางคนก็บอกว่านั่นมันเรื่องของเขา นี่ก็เหมือนกัน คนที่หูตาสว่างแล้ว จะทำหรือไม่ทำนี้มันอีกเรื่องหนึ่งนะ หูตาสว่างแล้ว จะทำหรือไม่ทำนี้อีกเรื่องหนึ่งเพราะอะไร เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมเป็นวิกฤตเป็นอะไรต่างๆ ที่เราจะลงไปทำแล้วมันได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเป็นการขวนขวาย เห็นไหม ที่บอกว่า ให้หลวงตาสั่งว่า ห้ามทำอย่างโน้นห้ามทำอย่างนี้ หลวงตาจะสั่งต่อเมื่อพวกตาบอด พวกหูหนวก แต่ถ้าผู้ที่เป็นธรรมเป็นอกาลิโกนี้ ท่านไม่สั่งหรอก ไม่มีทาง ท่านไม่สั่ง ถ้าท่านสั่งท่านต้องสั่งบอกว่าให้เอาแรงๆ ด้วย เพราะอกาลิโก

เรานั่งลืมตาอยู่อย่างนี้เรามองมาในอากาศ มองมาเห็นภาพไหม เหมือนกันหมดเลย เราจะเถียงกันไหม คนจะเถียงกันคือคนตาบอด แต่คนตาดีไม่เถียงกันหรอก มาวัดนี้ด้วยกัน ถ้าหลงก็หลงด้วยกัน ถ้าใครหลงก็หลงออกหนองตากยา แล้วก็วนกลับมาด้วยกัน ถ้ามาในรถคันไหนที่หลง มันก็หลงด้วยกันทั้งคันรถนั้นแหละ มันจะวนไปทั้งคันเลย ไอ้คนที่ไม่หลงก็ไม่หลงด้วยกัน แล้วมันจะไปเถียงกันไหม เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาตลอด เราจะเถียงกันไหม เราจะไม่เถียงกันหรอก แต่ถ้าคนไม่เคยมาสิมันจะเถียง

ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านเคยไปเคยมาอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงถูกทางแล้วท่านจะบอกว่า ไอ้คนที่มันหลง ให้เล่นมันหนักๆ เลย แต่นี้มาบอกว่า หลวงตาสั่งว่า ห้ามพูดห้ามบอก ถ้าคนพูดอย่างนี้นะ แสดงว่าตาบอด ตาบอดหมายถึงว่า ตัวเราไม่มีความมั่นใจในตัวเราเองเลย เราไปถึงที่ไหน เราเห็นภาพสิ่งใดแล้ว เราจะเอาภาพสิ่งนั้น เอาความเห็นสิ่งนั้นมาบอกชาวโลกเขาไม่ได้ อันนั้นไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเราไปที่ไหน เราเห็นสิ่งใดแล้วเรามาบอกชาวโลกเขา สิ่งนั้นถ้าครูบาอาจารย์ท่านรู้ท่านเห็นจริงด้วย ท่านสาธุนะ ท่านไม่ใช่ว่าจะสั่งไม่ให้พูดหรอก ท่านให้พูดเลย แล้วต้องพูดให้มากด้วย

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์ แล้วเทศน์โปรดยสะ รวมได้ ๖๑ องค์ เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราเห็นไหม พ้นทั้งบ่วงที่เป็นโลกและที่เป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน” ไอ้คำนี้สำคัญมาก อย่าไปซ้อนทางกัน ถ้าไปสองนี้มันเสียผลประโยชน์ ให้ต่างคนต่างไป ถ้า ๖๑ องค์ก็ให้เป็น ๖๑ สาย เพราะชาวโลกเขาเดือดร้อนนัก ชาวโลกเขาต้องการธรรม เขาเดือดร้อนนัก เธออย่าไปซ้อนทางกันนะ มันเสียประโยชน์

นี่ถ้าเป็นความจริงนะ อย่าซ้อนทางกัน ให้ไปเผยแผ่ ให้ไปช่วยเหลือเขาใช่ไหม ไม่ใช่ว่าอย่าไป ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอจงอย่าไปไหน นั่งอยู่กับเรา เพราะชาวโลกเขาร้อนนักก็ทิ้งมันไปซะ ชาวโลกเขาร้อนนักก็เรื่องของโลกเขาสิ โลกเขาจะร้อนก็ให้ร้อนกันไป ไอ้ ๖๑ องค์ที่พ้นทั้งบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์แล้วนั้นให้อยู่เฉยๆ ห้ามบอกใคร สั่งว่าห้ามพูดห้ามบอก มันเป็นไปไม่ได้ แต่จะบอกว่าเห็นไหม ดูสิ เวลาพระด้วยกัน ก่อนสมัยพุทธกาลนะ บิณฑบาตตอนเช้านี้มันจะมีลัทธิต่างๆ เห็นไหม พระพุทธเจ้าบิณฑบาต เขาก็บิณฑบาต แต่ก่อนจะบิณฑบาตมันยังมีเวลาเหลือ ท่านจะไปโต้ พูดธรรมะกัน แล้วมันมีพระไปพูดเห็นไหม เวทนามีเท่าไหร่แล้วไปพูดผิด ในสุตตันตปิฎกมีบอกไว้เยอะมาก แล้วกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเอ็ดเอานะ โมฆะบุรุษ ถ้าไม่รู้แล้วไม่ควรพูด มันพูดไปแล้วไม่ดี เขาถือว่าพระใช่ไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้พูดนี่ถูกหมดเลย แล้วเจือจานเขาได้หมด

แต่ไอ้พวกตาบอดที่ว่า สั่งว่าไม่ให้พูด ไม่ให้พูดเพราะมันพูดไม่ถูกไง มีในสุตตันตปิฎกมีเยอะมากนะ พระไตรปิฎกเรารื้อมาหมดแล้วล่ะ เวลาเขาถามปัญหา เวทนามีเท่าไหร่ มีเวทนา ๒ เวทนา ๓ เวทนาเท่าไหร่ พูดไม่ถูกมันผิดไง ไอ้อย่างนี้มันอยู่ที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วยกันเห็นไหม เวลาพูดไป เวทนามีเท่าไหร่ เวทนามี ๓ ใช่ไหม ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา แล้วอายตนะเห็นไหม เวทนาอายตนะ ก็เวทนา ๖ เห็นไหม เวทนา ๖ อายตนะภายนอก เวทนานอก เวทนาใน เวทนา ๖ เวทนา ๑๒ เวทนา ๑๘ เวลาที่เราพูดธรรมะกันไปแล้ว เราจะแตกแขนงออกไป ถ้ามันแตกแขนงออกไปเราพูดอย่างนั้นไป มันเป็นอีกกรณีหนึ่งใช่ไหม แต่โดยหลักอริยสัจ เวทนาก็คือเวทนา เวทนาก็มีเวทนา ๓ แล้วถ้าเวทนา ๖ ล่ะ เวทนา ๖ คือ อายตนะ ทุกข์จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นไหม นี่เวทนา ๖

แล้วเวทนานอก เวทนาใน เห็นไหม มันก็เป็น ๑๒ นะ แล้วเวทนา ๑๘ ล่ะ นี่ถ้าปฏิบัติเป็นนะ โอ้โฮ จะถามอะไรมามันเข้าใจได้หมดล่ะ มันอธิบายได้หมด แต่เวลาไปพูดกับเดียรถีย์ เดียรถีย์บอกเวทนามี ๒ มีสุขกับทุกข์ สุขเวทนา ทุกขเวทนา เพราะไอ้เดียรถีย์มันต้อนเราจนไง พอต้อนเราจนก็มารายงานพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก โมฆะบุรุษ โมฆะบุรุษ พวกนี้พวกบุรุษโมฆะ คือพระโมฆะ คือไม่มีความรู้ความเห็น ไม่รู้จริงแล้วไปพูดกับเขา ไปพูดไปโต้แย้งแล้วมันผิดพลาดเห็นไหม โมฆะบุรุษ อย่างนี้ต่างหากที่พระพุทธเจ้าไม่ให้สอน แต่เวลา ๖๑ องค์ เธอกับเรา พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและที่เป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกันเลย ดูสิ พระอัสสชิไปได้พระสารีบุตรมาเห็นไหม พระสารีบุตรไปได้พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะไปได้ลูกศิษย์ ๕๐๐ จะไปเอาสัญชัยมาด้วย ดูสิ พระอัสสชิองค์เดียวไปเอามาได้อีกเป็นพันๆ เลย ถ้าพระอรหันต์นะ เธออย่าไปซ้อนทางกัน ฉะนั้นที่บอกว่า ห้ามพูดๆ นี้ ห้ามพูดต่อเมื่อคนตาบอดนะ แต่คนตาดี นี้ไม่มีหรอกที่ว่าห้ามพูด มันเป็นอกาลิโก ธรรมะนี้เป็นอกาลิโก ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่แล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ในปัจจุบัน ๕,๐๐๐ ปีนี้ ศาสนาพุทธมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ เจ้าของเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ก็เหมือนสิ่งที่ไม่มีเลย สิ่งที่ไม่มีเลยคือไม่มีใครเข้าใจเลย แล้วพระพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา อย่างพวกเรา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รื้อค้นขึ้นมา สาวก สาวกะทำกันไม่ได้ ดูสิ ขนาดมีพระไตรปิฎกเห็นไหม พระไตรปิฎก คือตำรา คือธรรมและวินัย คือแทนองค์ศาสดา ในประเทศไทยทุกวัด วัดหนึ่งมีตั้ง ๓-๔ ตู้ มันยังเถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย นี่ขนาดมีพระไตรปิฎกอยู่นะ แล้วถ้าไม่มีมันจะขนาดไหน มีพระไตรปิฎกก็เถียงกัน ที่สุดแล้วก็ต้องมาจบที่พระไตรปิฎก ต่างคนต่างอ้างว่าพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ ๆ วัดหนึ่งมีพระไตรปิฎกอยู่ ๔-๕ ตู้ แล้วก็เถียงกันไปเถียงกันมานะ ความเห็นก็แตกต่างกัน นี่ขนาดมีตำรานะ มันยังเถียงกัน มันยังเอาหัวชนกัน แล้วถ้าไม่มีมันจะไปไหนล่ะ มันก็เอาหัวจิ้มลงนรกน่ะสิ

ฉะนั้นจึงบอกว่า สิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมและวินัย สาวกสาวกะคือผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ที่ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมนั้นดั้งเดิมอย่างไร ดั้งเดิมแต่กับคนที่มีวุฒิภาวะพอ เช่น พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมารื้อค้นพระธรรมวินัยนี้ขึ้นมา ดูสิ เวลาหมด ๕,๐๐๐ปี ใช่ไหม ธรรมะไม่เคยเสื่อม ธรรมะไม่เคยเสื่อม ใช่ สัจจะอันนั้นไม่เคยเสื่อม แต่หัวใจคนมันเสื่อม ปัจจุบันนี้ยังเถียงกันปากเปียกปากแฉะนะ แล้วต่อไปนะ ธรรมะใครธรรมะมัน จะต้องโพกหัวไว้เลยว่าธรรมะของมัน แต่ธรรมะในใจไม่มี

ฉะนั้น พอหมด ๕,๐๐๐ ปีไปนี้จิตใจคนมันเสื่อม ไม่ใช่ธรรมะเสื่อม ดูสิ เวลาธรรมวินัยที่เราเข้าไม่ถึงเราเข้าไม่ได้ มันก็เสื่อมไป พอเสื่อมไปๆ ของมันมีอยู่แต่เราเข้าไม่ถึง เราเข้าได้โดยจินตนาการ เราเข้าได้แต่ความคิด แต่เราเข้าไม่ได้โดยเนื้อหาสาระ ถ้าเข้าได้โดยเนื้อหาสาระนะ คนที่จะเข้าไปถึงเนื้อหาสาระได้ มันเข้าไปได้เพราะเหตุใด เหตุอันนั้นต่างหากที่เป็นวิธีการเข้าไปสู่เป้าหมาย ที่ว่านิพพานคือเป้าหมาย แล้ววิธีการเข้าสู่เป้าหมายมันเข้าไปยังไง ไอ้นี่ว่า นิพพานมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วกูก็สะดุดแม่งเอาหัวทิ่มนิพพานเลย เหมือนสวมหมวก ถือใส่หัวไว้เลยว่านี่กูได้นิพพานมา มันไม่มีหรอก มันไม่มี มันต้องมีการกระทำ มีความจริงของมันขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา อันนั้นมันถึงเป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหมสิ่งที่เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา มันทำขึ้นมาได้อย่างนั้น สาวก สาวกะ ได้ยินได้ฟัง

แล้วต่อไปเห็นไหม ที่ว่าศาสนาเสื่อม ศาสนาเสื่อม เวลาจิตใจคนมันเสื่อมไปๆ มันไม่เชื่อธรรมวินัย ธรรมวินัยมีอยู่ไหม มี ถ้าไม่มีอยู่ พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ได้ยังไง พระศรีอาริยเมตไตรย แล้วอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์นะ พระพุทธเจ้าข้างหน้า ที่ในพระไตรปิฎกบอกไว้แล้ว อีก ๒๐- ๓๐องค์ที่มารอคิวอยู่ แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ได้ทีละองค์เดียวๆ กาลเวลาเป็นเท่าไหร่ มันจะหมุนไปเท่าไหร่ นี่พูดถึงธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มีมันมีอยู่แล้ว แต่คนมันเสื่อม มันเข้าไม่ถึงทั้งๆ ที่ปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์นะ เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เราพูดมาเปรียบเหมือนเราเป็นสัตว์ แล้วครูบาอาจารย์เป็นควาญช้าง ท่านจะเอาปฏัก ช้างนี่นะ ถ้าช้างนี้มันยังฝึกไม่ได้ ควาญช้างนี่ต้องเอามันอยู่ให้ได้ ถ้าไม่เอามันอยู่ให้ได้ ควาญช้างจะบังคับช้างนั้นไป อย่างพวกเรานี้เหมือนสัตว์เลย มันต้องมีควาญประจำตัว ถ้าไม่มีควาญประจำตัว เราก็จะเป็นควายตู้ มันจะดันของมันไปอย่างนี้ แล้วพอดันไปมันเจออะไรมันก็ว่ามันถูกไปอย่างนั้น แต่ถ้ามีควาญประจำนะ ควาญมันเอามันอยู่ มึงดื้อ ดื้อก็ปฏักลง เป๊าะ เป๊าะ เลือดทั้งนั้น พอมันโดนแล้วมันจะอยู่ พวกเราก็เหมือนกัน สาวก สาวกะ ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้น

แล้วนี่เขาบอกว่าในธรรมะบอกไว้ อย่าให้เชื่อบุคคล ให้เชื่อธรรมะเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่าเชื่อบุคคลเลย ใช่ จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เพราะบุคคลมันไว้ใจไม่ได้ แต่การว่าไว้ใจไม่ได้ แต่เวลาเราแสวงหา เราจะรู้ได้ อย่างเราประพฤติปฏิบัติ เราหาครูบาอาจารย์เราจะรู้ได้เลยว่า อาจารย์มีหรือไม่มี ถ้าอาจารย์ไม่มีนะ มันก็ใช้เล่ห์กล หลบไป หลีกมา หลีกมา หลบไป ธรรมะไม่พูดหรอก พูดอะไรก็ไม่รู้ วนไปวนมา แต่พูดธรรมะนะ เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ จะพูดธรรมะนะ เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ แล้วก็พูดอารัมภบทไปอีกครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวจะพูดธรรมะนะ แล้วก็อารัมภบทไปอีกชั่วโมง พอจะพูดธรรมะ เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ มันไม่กล้าพูดหรอก มันอารัมภบทไปแม่งไปวันๆ นึง ไอ้พวกนั้นไง เธอจงมีธรรมเป็นพึ่งเถิด ก็นี่ไง ธรรมะไง ก็มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราเป็นที่พึ่งเขา เขาก็จะพึ่งเรา จะพึ่งกันอยู่นั่นนะ แล้วไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วธรรมอยู่ไหนล่ะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านรื้อค้นของท่านขึ้นมาแล้วท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน พอท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่านนะ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน คนมีคุณธรรมในหัวใจนี้อ่อนน้อมถ่อมตนมาก หลวงปู่มั่นนะ ถ้าไม่มีใครรู้จักหลวงปู่มั่นนะ จะไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นหลวงปู่มั่นเลย ไปถึงก็เหมือนหลวงตาองค์หนึ่ง ท่านแบกบริขารของท่านไป ไม่มีศักยภาพอะไรเลย มองข้างนอกนะดูไม่ออกเลย หลวงตาถึงบอกว่า ผ้าขี้ริ้วห่อทอง อยู่ข้างนอกนี้เหมือนผ้าขี้ริ้ว คนมองนะ ไอ้อย่างเรานี้ โอ้โฮ ไหมนะเว้ย ห่มไหมเชียวมึง ไปไหนนี้รถนำหน้านำหลังนะ นี่อาจารย์ใหญ่เลยนะ แต่หลวงปู่มั่นนะเวลาไปไหนไม่มีใครรู้จัก นี่ของจริงเห็นไหม อ่อนน้อมถ่อมตน แต่อย่าให้แสดงธรรมนะ ถ้าแสดงธรรมนะ หลวงตาบอกเลย แสดงธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาแสดงไปแล้ว มันเหมือนมันดันออกมาจากสัจจะความจริง ดันออกมาจากหัวใจ ท่านเทศน์อยู่ที่โบสถ์วัดเจดีย์หลวง คนเดินไปเดินมานึกว่าพระทะเลาะกันนะ จนเขาเดินเข้ามาถาม พระทะเลาะอะไรกัน พระทะเลาะอะไรกัน “ ไม่ใช่หรอก หลวงปู่มั่นเทศน์”

ถ้าเวลาเทศน์ แสดงสัจธรรม ถ้ามันขับออกมาจากใจ อันนั้นเป็นความจริง แต่มาดูรูปลักษณ์ภายนอกนะ เหมือนหลวงตาแก่ๆ องค์หนึ่ง ไม่รู้จัก นี่ความเป็นจริง เห็นไหม สัจธรรมมันมีความสุขในหัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันไม่ต้องการสิ่งใดเลย นี่มาบอกว่า เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด นี่ในบาลีนะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย เพราะบุคคลนั้นมันพึ่งไม่ได้ บุคคลนี้มันเป็นคนที่โลเล บุคคลนี้ไม่น่าพึ่ง พึ่งไม่ได้หรอก แต่! แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเรามันมีธรรมในหัวใจ ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันอยู่ในกระดาษหรือ ธรรมมันมีภาชนะอะไรที่จะขังธรรมเอาไว้ได้นอกจากพุทธะ ความรู้สึกอันนี้ แล้วความรู้สึกอันนี้มันค้นคว้ามันทำลายกิเลสออกไปแล้วจนมันเป็นธรรมทั้งแท่ง พอมันเป็นธรรมทั้งแท่ง ธรรมมันไปสถิตในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา ในเมื่อธรรมมันไปสถิตในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา เราจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราก็จะหวังพึ่งธรรมอันนั้น

แต่โลกมองผิดไง มองว่านั่นคือบุคคลไง อย่างหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นก็เป็นบุคคล เพราะหลวงปู่มั่นก็เป็นมนุษย์ เป็นบุคคลคนหนึ่ง ใช่ หลวงปู่มั่นเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ท่านมีธรรมในหัวใจเห็นไหม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นใดเป็นที่พึ่งเลย ในเมื่อหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ท่านมีธรรมเต็มหัวใจของท่าน ท่านมีที่พึ่งเต็มหัวใจเลย ท่านมีธรรมเป็นที่พึ่ง ท่านมีความสุขของท่าน ท่านอยู่แบบทางโลกมองแบบผ้าขี้ริ้วเลย ไม่มีค่าในสิ่งใดเลย แต่ในหัวใจท่าน เทวดาอินทร์พรหมมาเฝ้าทุกคืนเลย มาอุปัฏฐาก มาฟังธรรมหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นทุกคืนเลย เห็นไหม คนที่มีหูมีตา ท่านเคารพบูชาของท่าน ท่านมาฟังธรรมของท่าน ไอ้เราพอมองนะ โอ้ สู้พระอาจารย์เราไม่ได้หรอก อาจารย์เรานะ โอ้โฮ ศักยภาพนะ ลูกศิษย์ลูกหายังมีบารมีกว่านี้อีก โอ้ นี่หลวงตาแก่ๆ เอ๊ รู้จักได้ยังไง เห็นไหม จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราก็ไม่รู้ว่า ธรรมมันอยู่ที่ไหน แต่ทำไมเทวดาอินทร์พรหมเขารู้ว่ามีธรรมล่ะ

ฉะนั้น ถ้ามีใจเป็นธรรมทั้งแท่ง เราก็หวังพึ่งธรรมอันนั้น ถ้าหวังพึ่งธรรมอันนั้นเวลาเราไปหาท่านเห็นไหม ท่านเป็นผู้นำเรานะ ผิดถูกนะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำว่าหลวงปู่มั่นจะเก็บหอมรอมริบ เป็นพระอรหันต์นะ คำว่าพระอรหันต์นะ เป็นสติวินัย สติวินัย พระอรหันต์ไม่มีอาบัติ เป็นอนาบัติ ถ้าสติวินัยแล้ว ไม่มีอาบัติ คำว่าไม่มีอาบัติเพราะอะไร เพราะธรรมวินัยเป็นสมมุติ คำว่าสมมุติ กฎหมายนี้เป็นสมมุติ แต่จิตนั้นมันพ้นไปแล้ว เพราะมันไม่มีเจตนา ไม่มีการกระทำ ไม่มีอะไรแล้ว เป็นกิริยาเฉยๆ ไม่มีอาบัติ พระอรหันต์ไม่มีอาบัตินะ ไม่มีอาบัติอยู่ในใจของพระอรหันต์เพราะใจเป็นธรรมแล้ว

แต่ถ้ามาทางโลก มันมีอยู่ มีอยู่หมายถึงว่า มันเป็นเรื่องโลกวัชชะเห็นไหม เพราะพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ถ้าตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว เอ๊ เราต้องลงอุโบสถไหม เราต้องปลงอาบัติไหม พระพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์เลย ถ้าเธอไม่ทำ แล้วสังคมสงฆ์จะอยู่กันยังไง สังคมสงฆ์ ผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาต้องมีแบบอย่าง เขาต้องมีผู้นำ แล้วผู้นำเห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมขึ้นมาเห็นไหม บรรลุธรรมขึ้นมา เอ๊ มันจะสอนกันได้ยังไง คำว่าจะสอนได้ยังไง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่ามันละเอียดอ่อนมาก คำว่าละเอียดอ่อน ตั้งแต่เป็นโสดาบันเป็นยังไง เป็นสกิทาคาเป็นยังไง เป็นอนาคาเป็นยังไง ถ้าสิ้นกิเลสนี้สิ้นยังไง แล้วโสดาปัตติมรรค สกิทาคามีมรรค อนาคามีมรรค อรหัตตมรรค มันแตกต่างกันยังไง แม้แต่ความคิดเรานี้ ปัญญา ๆ นี่ไร้สาระ ไอ้นี่เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาสามัญสำนึก เอ็งไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรเลย มันก็ผุดขึ้นมาไอ้ความคิดของมึงนั่นน่ะ ไอ้ปัญญาอย่างนี้ ไอ้ปัญญาขี้หมา มันขึ้นมาเอง แต่โสดาปัตติมรรค ปัญญาในโสดาปัตติมรรคนั้นเป็นยังไง ปัญญาในสกิทาคามีมรรคนั้นเป็นยังไง ปัญญาในอนาคามีมรรคนั้นเป็นยังไง ปัญญาในอรหัตตมรรคนั้นเป็นยังไง แล้วผู้ที่สิ้นกิเลสไป มันต้องผ่านวิกฤตอย่างนี้ โอ้โฮ มันลึกซึ้งมาก แล้วจะสอนได้ยังไง หลวงตาท่านรำพึงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ไง

สุดท้ายแล้วก็ “อ้าว แล้วถ้ามาถึงไม่ได้ แล้วเรามาถึงได้ยังไง” เห็นไหม นี่ ปัญญาของคน เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าไม่ได้แล้วเรามาได้ยังไง เรามาด้วยวิธีการที่ท่านบากบั่นมา วิธีการที่บากบั่นมานี้มันบากบั่นมายังไง บากบั่นมาจากข้อวัตรอย่างที่หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านคอยบอกเห็นไหม ความบากบั่นมาอย่างนั้น เห็นไหม ความบากบั่นนี่คือข้อวัตรปฏิบัตินะ “อ๋อ มาได้ด้วย ข้อวัตรปฏิบัติ มาได้ข้อวัตรที่ครูบาอาจารย์เรารักษาอยู่นี้นี่ไง” แต่ทางโลกเขาบอกว่า อัตตกิลมถานุโยคนะมึง การทำตนให้ลำบากเปล่านะมึง แต่ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่าที่ท่านมาได้ เพราะมาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ

มาด้วยความบากบั่นอันนี้ไง นี่ถึงได้บอกว่าจะสอนได้ยังไง เวลามันคิดอย่างนี้ นี่ใจเป็นธรรม พอใจเป็นธรรมมันคิดได้เอง เวลาเราจะมาสอนคนเห็นไหม เพราะจิตใจที่มันผ่านมาอย่างนี้ เป็นอกาลิโก อกาล ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ถ้าใครบรรลุถึงแล้วนะ มันเป็นอย่างนั้น แล้วไม่ต้องมีใครบอกว่าควรไม่ควร เพราะในเมื่อหูตาสว่างแล้ว มันเป็นความจริงทั้งนั้น จะบอกต่อเมื่อคนตาบอด เอ็งอย่าไปบอกเขานะ ถ้าเอ็งบอกเขานะ เอ็งจะไปชี้นรกให้เขา เพราะมึงก็นรกกินหัวอยู่แล้ว มึงชี้ทางเขา ก็ชี้ทางเขาลงนรก เพราะฉะนั้นมึงอย่าพูด ถ้าหลวงตาจะบอกว่าอย่าพูดอย่าสอนก็ไอ้คนที่สอนนั่นมันตาบอด เพราะตาบอดมันชี้ทางไปไหน ชี้ทางลงนรกทั้งนั้น ถ้าชี้ทางลงนรกแล้วมึงจะได้อะไรล่ะ ถึงได้ว่า ห้ามพูด

แต่ถ้าเป็นจริงนะ เป็นจริงเห็นไหม เป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ เป็นจริงมันพิสูจน์ได้ เป็นจริงโดยที่ เรามีหูมีตา จับวัตถุสิ่งใดที่ตั้งอยู่ทุกคนเห็นด้วยกันหมด มันเห็นด้วยกันหมด นี่ตามความเป็นจริง นี่ อกาลิโก มันเป็นอกาล มันไม่มีกาล ไม่มีเวลา แล้วถ้าคำว่าไม่มีกาล ไม่มีเวลา แต่เวลาของเรานะ ๑๐๐ ปีมันสั้นนัก ฉะนั้นถ้าวางหลักเกณฑ์ได้ ถ้ามีคนรู้ต่อไป มันจะได้สืบต่อกันไป ไม่ใช่ว่า ท่านไม่ให้ใครพูด ใครจะมีอำนาจ ใครจะบงการกาลเวลา บงการชีวิตคน มันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละบุคคล เป็นกรรมของสัตว์แต่ละตัวที่เกิดในวัฏฏะ ฉะนั้น ยิ่งมีผู้รู้จริงสืบต่อไป ยิ่งเป็นความอบอุ่น ยิ่งเป็นความพอใจของครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นท่านจะบากบั่นตรากตรำอยู่นี้เพราะเหตุใด คำว่าบากบั่นตรากตรำอยู่นี้ก็เพื่อจะให้คนมันหูตาสว่าง แล้วถ้าคนหูตาสว่าง เอ็งพอจะมีร่องมีรอยเอ็งควรจะบอกเขาได้ แล้วเอ็งอย่าบอกๆ นี่ มันตัดรอน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี้พอมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เวลาพูดเห็นไหม จริงๆ แล้วนะ ถ้าพวกเราเคารพธรรมจริง สิ่งที่เป็นจริงเห็นไหม เราจะสื่อสารกันได้ มันเป็นมงคลเห็นไหม ธมฺมสากัจฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ เห็นไหม ที่ว่าการสนทนาธรรมกันนั้น มันเป็นมงคลอย่างยิ่ง ถ้าการสนทนาธรรมเราต้องมีคุณธรรมแล้วสนทนาธรรมตามธรรมนั้นที่เป็นจริง อย่างเช่นถ้าเรามีสมบัติเท่าไหร่ เรามีเท่านั้น

แต่นี่เราไม่พูดถึงสนทนาธรรมเลย เราไปพูดถึงว่าหลวงตาห้ามอย่างนั้น หลวงตาห้ามอย่างนี้ อ้างศักยภาพของครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เชื่อถือของสังคม ไปกดถ่วงให้สังคมนั้นโดนบีบ กดถ่วงโดยศักยภาพของครูบาอาจารย์เรา นี่เวลาจะใช้ประโยชน์กับตัวเราเองนะ แล้วถ้าเวลาจะอ้างอิงก็ว่า หลวงตาเห็นด้วย หลวงตาเห็นด้วย แต่ตัวเองไม่เคยบอกว่า เราเห็นอะไรเลย ถ้าความจริงนะ ถ้าหูตาสว่างนะ เอ้า โยมมาที่นี่ โยมก็บอกสิว่า ศาลาเป็นยังไง เอ้อ มาที่นี่นะ ศาลานี่หลวงตาว่ายังงั้น ศาลานี้หลวงตาว่ายังงั้น หลวงตาอยู่ที่อุดรนะ ไอ้เราเห็นของเราเองนะ มาที่ศาลานี้เราก็เห็นศาลาด้วยหัวใจด้วยสายตาของเรา ก็บอกออกมาสิ แม้แต่ศาลาที่เข้ามาเห็นแล้วยังไม่กล้าพูดอีกหรือ ทำไมต้องบอกให้หลวงตาบอกว่านี่มีเสาข้างละ ๖ ต้น ต้องให้หลวงตาบอกใช่ไหม หลวงตาบอกว่าอย่างนั้น หลวงตาบอกว่าอย่างนี้ เราจะย้อนกลับไง ถ้ายังอ้างคนโน้นอ้างคนนี้อยู่ แล้วคนที่อ้างนั้นมีคุณภาพอย่างใด คนที่อ้างคนโน้นอ้างคนนี้อ้างเห็นไหม อ้างเล่ห์ไม่ได้ ธรรมะนี้ไม่อ้างเล่ห์ ธรรมะนี้จะออกมาจากใจ ถ้าธรรมะที่ออกมาจากใจ เหตุและผลที่ออกมานั้นถึงจะเป็นความจริง

ฉะนั้นเวลาพูดกัน ต้องพูดกันด้วยเหตุและผล เหตุและผลที่ออกมาจากใจนั้น แล้วถ้ามันธัมมะสากัจฉา ในเมื่อสนทนาธรรมกันแล้ว มันแตกต่างหลากหลาย มันแตกต่างอย่างใด คำว่าแตกต่าง แตกต่างจากวิธีการนี้แตกต่างได้ แต่ผลนี้มันเหมือนกัน มาถึงที่นี่ ดูสิ คนมาแต่ละจังหวัดก็มาคนละทาง แต่ก็มาถึงที่นี่เหมือนกันเห็นไหม มาถึงที่นี่ ปฏิบัติธรรมนี้ ไม่มีทางหรอกว่า มันจะแตกต่างกันอย่างโง้น แตกต่างกันอย่างงี้ แตกต่าง แต่ผลมันอันเดียวกัน ถ้าผลมันอันเดียวกัน เวลาพูดออกมามันจะรู้จริง ถ้าแตกต่างนะ ทีนี้ คำว่าแตกต่าง อาจแตกต่างโดยวิธีการ มัน ฟ้ากับเหว เลย ถ้าแตกต่างโดยวิธีการ ฟ้ากับเหวเลย แล้วผลล่ะ ผลมันอันเดียวกัน แล้วมันอันเดียวกันยังไง ฉะนั้นถ้ามันอันเดียวกันนี้มันผิด อันเดียวกันมันผิดเห็นไหม วิธีการ ดูสิ คนจะมาที่นี่นะ แล้วก็ไปออกเส้นพหลโยธินนะ ออกไปเรื่อย มันจะเข้าเพชรเกษมได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก เส้นที่มาที่นี่เพชรเกษมนะ แต่ถ้าไปโผล่พหลโยธินล่ะมันไปไหน มันก็ไปอีสานสิ นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัตินะจะเป็นยังงั้น

คำพูดที่เราค้านอยู่ มันค้านตรงนี้ไง ค้านว่า ทำสมาธิยังไง ถ้าจิตไม่สงบ มันจะเกิดปัญญายังไง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้น มันเป็นยังไง โยมกินข้าวจบเมื่อกี้ โยมไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไงเลย เราต้องจับโยมทั้งหมดไปหาหมอ สงสัยพวกนี้ผิดปกติ ในวิธีปฏิบัติก็เหมือนกัน เอ้า เอ็งจะเป็นยังไงก็แล้วแต่เอ็งก็บอกมาสิว่าเป็นยังไง บอกมาสิ บอกมาว่าเป็นยังไง บอกมาว่าทำยังไง เราไม่เคยพูดเรื่องอื่นเลย เราพูดแต่ตรงนี้ เราพูดแต่ข้อเท็จจริงนี้ เรื่องตัวบุคคลนี้เราไม่สนใจใครเลย เพราะพระอย่างนี้ มันมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้ว สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าจะบัญญัติวินัยข้อไหนก็แล้วแต่ ฉัพพัคคีย์จะทำให้วุ่นวายไปหมดเลย ฉัพพัคคีย์เป็นพระดื้อมาบวชในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบัญญัติอะไรก็แล้วแต่ ฉัพพัคคีย์จะออกนอกลู่นอกทางไปหมด มันมีอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วมันจะมีต่อไป

ฉะนั้น เราไม่เอาตัวบุคคลมาเป็นตัวตั้ง แต่เราเอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้ง เพราะข้อเท็จจริงนี้ บุคคลที่ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติตามข้อเท็จจริงนั้น ฉะนั้น ข้อเท็จจริงนี้มันจะกรองบุคคล กรองบุคคลว่าบุคคลปฏิบัติถูกหรือผิด ถ้ากรองบุคคลปฏิบัติถูกหรือผิด บุคคลคนนั้นจะได้ประโยชน์ไง ที่พูดอยู่นี่ก็พูดเพื่อบุคคลที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติ เขาต้องกรองตัวเขา เขากรองตัวเขาด้วยสัจธรรม ถ้าเขากรองตัวเขาด้วยสัจธรรมเหมือนกับเราทำความสะอาดสิ่งที่สกปรก สิ่งที่พวกเราได้ทำความสะอาดแล้ว สิ่งที่มันสกปรกมันจะสะอาดด้วยวิธีการที่ทำความสะอาด นี่คือข้อเท็จจริง ฉะนั้นพูดถึงข้อเท็จจริง ไม่ต้องอ้างหลวงตา ไม่ต้องอ้างใครเลย เราไม่เคยอ้างเลยนะ ใครบอกว่าลูกศิษย์ใคร ลูกศิษย์ใคร เอ้า ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไง ถ้าหลวงตาท่านรับนั้น มันเป็นความพอใจ ความที่หลวงตาท่านพอใจท่านประทับใจ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ เราไม่มีสิทธิ เราไม่มีสิทธิแต่เราพูดข้อเท็จจริง คำว่าข้อเท็จจริง ต้องพูดว่าข้อเท็จจริง

ถ้าจะอ้างหลวงตานะ เราจะไปเอาคำที่หลวงตาชมๆ เราไว้นี่นะ แล้วกูจะขึ้นป้ายหน้าวัดกูเลยนะ เยอะแยะไป ขึ้นหน้าป้ายหน้าวัดกูเลย หลวงตาชมไว้ว่ายังไง สังเกตได้ เราไม่เคยเอาเรื่องนี้มาพูดเลย แล้วก็ไม่เอาเรื่องอย่างนี้ออกมาพูด แล้วไม่เอามาใช้ประโยชน์เลย หลวงตาชมไว้ถ้าเป็นคนอื่นนะ มันต้องขึ้นสักไว้บนหัวกูเลย หลวงตาชมว่าอย่างนั้นๆ มันจะสักไว้หน้าผากเลย เราไม่เคยเอามาใช้เลยนะ ท่านพูดเยอะ แล้วพูดชม เยอะ แล้วพูดชมไม่ใช่ธรรมดา เวลาพูดชมคำไหน คำนั้นมัน “ต่อไปมึงจะเป็นหลักที่นั่น ต่อไปจะเป็นคนดีที่นั่น ต่อไปจะเป็น..” ท่านพูดอันนี้เพราะอะไรล่ะ เรามีลูกนะ ลูกเราไปออกทำมาหากิน สิ้นเดือนมันก็มาแบมือขอพ่อแม่ว่าเงินไม่พอใช้ ลูกคนนั้นจะเอาตัวรอดไหม ลูกคนไหนไม่ออกไปทำงาน ถึงเวลาสิ้นเดือน มันเอาเงินมาให้พ่อแม่มัน หนูเหลือเฟือ หนูใช้ไม่หมด พ่อแม่คนนั้นจะมั่นใจกับลูกคนนั้นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลูกศิษย์ของเราออกไปประพฤติปฏิบัติแล้วมันทำขึ้นมาแล้ว ประเทศไทยมันแคบนิดเดียว ทำอะไรไปท่านมีหูมีตาท่านรู้หมดแหละ เดี๋ยวนี้โลกยังแคบไปเลยอย่าว่าแต่ประเทศไทย เอ็งจะไปมุดอยู่ถ้ำไหนก็แล้วแต่เขารู้กันทั้งนั้น ฉะนั้น กรณีอย่างนี้ ยิ่งอ้างยิ่งไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่มีประโยชน์หรอก ทีนี้กรณีอย่างนี้ มันอ้างหลวงตา นี่เขาพูดมาว่าอ้างหลวงตาว่า ว่าไม่ให้เราพูด ไม่ให้เราพูด เพราะคำว่าอ้างหลวงตานี่เขาก็ลอยตัวไง แต่ข้อเท็จจริงนี่ทำไมไม่พูดล่ะ อย่างอื่นไม่มี อย่างอื่นไม่มี แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกันมานั่นคือคว้าน้ำเหลว คือไม่มีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจเลย เพราะอะไร เพราะไอ้ที่บอกว่าปฏิบัติแล้วสบาย สบายนี่ มันเป็นกระแส ถ้าเราเข้าไปในสิ่งที่ว่าสบายๆ อย่างเช่นที่นี่ ถ้าเขาไม่กินเนื้อสัตว์ ทุกคนก็บอกว่า เนื้อสัตว์ไม่ดีเลยนะ กินผักอร้อย อร่อย แต่ที่นี่กินเนื้อสัตว์นะ ก็บอกว่า โอ๊ย ผักไม่ดีเลย กินเนื้อสัตว์ อร้อย อร่อย นี่ก็เหมือนกัน พอบอกว่า สบายๆ กูก็สบายๆ ไปด้วย

ถามจริงๆ เถอะ มึงสบายจริงหรือเปล่า มึงสบายจริงไหม ถามจริงๆ เถอะมึงสบายจริงหรือเปล่า ในเมื่อกิเลสนะ มันบีบบี้สีไฟในใจของแต่ละบุคคล คนที่เกิดมานี้ทุกข์หมดเลย ทุกข์หมดเลย ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน ให้มีคนใช้ ๑๐๐ คน ให้มีคนอุ้มดูแลตลอดเลยนะ มันก็ไม่พอใจมัน ใจนี้มันไม่เคยเต็ม ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไม่มีวันพอ ไม่มี! คนเกิดมานี้ทุกข์ทั้งนั้น แล้วพอมาปฏิบัตินะ ลูบๆ คลำๆ แล้ว สบาย โอ๋ ดี๊ดี โอ๋ย ว่างหมดเลย อู๋ย สบาย สบาย โอ้โฮ พูดแต่ปาก! เราไม่เชื่อหรอก เพราะทุกคนที่มาปฏิบัติ คนทุกคนที่เกิดมามีกิเลสหมด แล้วกิเลสตัวไหนล่ะ แค่กำหนดดูมันเฉยๆ นะ แล้วมันจะหมอบนอนให้เราตรวจสอบมัน มึงบอกกูทีว่าที่ไหนมี บอกกูทีกูจะไปปฏิบัติด้วย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ที่ไม่มีใครพูดใช่ไหม เพราะอะไร เพราะมันพูดกันไปก็บอกหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ เห็นไหม พระเราไม่ควรติเตียนกัน ทุกอย่างไม่ควรติเตียนกัน เราบอกว่า เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคลเลย เราเอาข้อเท็จจริง ความเป็นจริงนี่มันเป็นไปได้ไหม ความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ก็พูดถึงข้อเท็จจริงนั้น เราก็เอาข้อเท็จจริงนี้มาพูดกันสิ เอาข้อเท็จจริงมาพูดว่ามันเป็นไปได้เพราะเหตุใด บอกที บอกที บอกทีสิว่าดูเฉยๆ แล้ว สะดุดนิพพานหัวทิ่มไปเลย บอกที จะทำบ้างว่ะ อยากทำ อยากทำ ดูเฉยๆ แล้วสะดุดนิพพาน หกคะเมนไปเลย บอกทีสิ อยากจะไปหา มันเป็นไปไม่ได้หรอก หาจนตาย มันก็ไม่เจอ

น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา คนทำจิตสงบขนาดไหน ใสขนาดไหนนะ ก็ไม่เห็นกิเลส ไม่เห็นหรอก ให้จิตสงบขนาดไหนก็ไม่เห็นกิเลสเพราะสมาธินี้ไม่เกิดปัญญา สมาธิฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ น้ำขุ่นๆ น้ำขุ่นๆ คือน้ำกับตะกอน มันเป็นเนื้อเดียวกัน ความคิดโลกๆ ความคิดโดยสามัญสำนึก ความคิดโดยตัณหาความทะยานอยาก ความคิดโดยสัจจะ โดยสามัญสำนึกนี้ มันอยู่กับเรามาตลอด น้ำใสๆ คือตัวจิตแท้ๆ มันต้องมีพลังงานของมัน ไอ้ตะกอนนั้น มันก็อยู่ในน้ำนั้นมาตลอด แล้วเวลาเกิดปัญญา ก็เกิดปัญญาโดยตะกอนขุ่นๆ อย่างนี้ แล้วถ้าใช้ปัญญามากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็จะเกิดการตกผลึก ตะกอนนี้จะนอนก้น พอมันนอนก้น ก็เป็นน้ำใส น้ำใสขนาดไหนก็คือน้ำ ตะกอนก็คือตะกอน น้ำก็คือน้ำ มันจะอยู่กันอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันชำระกันได้ ไม่มีหรอก แต่ถ้าน้ำนั่นใสแล้วเห็นไหม พอเราใช้พุทโธๆ เป็นสมาธิอบรมปัญญาหรือปัญญาอบรมสมาธิก็แล้วแต่ ตะกอนมันจะนอนก้น มันจะมีน้ำใส น้ำใสกับน้ำขุ่นแตกต่างกันไหม น้ำขุ่นๆ จิตตามความสามัญสำนึก เราก็อมทุกข์ อมสุขกันอยู่ มีสุข มีทุกข์ กึ่งๆ ดิบๆ สุกๆ กันอยู่อย่างนี้ มันก็มีมาตลอดใช่ไหม แล้วเวลาใช้ตรรกะเห็นไหม ดูไปดูมา มันสบายใจก็ เอ้อ สบาย แต่เดี๋ยวมันก็ไม่สบาย สบายขนาดไหน มันก็ชั่วคราวแป๊บเดียว ไม่มี มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่บอก สบาย สบาย แล้วจะไม่สบายอีกเลย เป็นไปไม่ได้ มันสบายชั่วคราว แล้วก็ไม่สบาย แล้วก็สบาย แล้วก็ไม่สบาย จะอยู่อย่างนั้นตลอดไป เป็นไปไม่ได้ แต่พอน้ำนั่นใสขึ้นมาเห็นไหม น้ำใสจะเห็นตัวปลา ไม่มีทางเห็น เพราะสมาธิฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่น้ำใสนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะน้ำใส ปลานี่ เราจะเห็นได้ง่ายใช่ไหม น้ำขุ่นๆ ปลามันอยู่ในน้ำนั้น มันก็จะไหลไปตามน้ำขุ่นนั้น กิเลสตัณหาความทะยานอยากนั้นอยู่ในเราตลอดไป แต่พอน้ำใสขึ้นมาเห็นไหม พอน้ำมันใส ปลามันออกมา เราเห็นปลาได้ไหม ปลามันออกมา มันว่ายมา ปลามันต้องออกมา ปลามันจะอยู่โดยนิ่งๆ อยู่โดยที่มันไม่หายใจ อยู่โดยที่ไม่หาอาหาร เป็นไปไม่ได้

กิเลสของคน มันอยู่กับเรา มันมีตัณหาความทะยานอยากมันมีความเดือดร้อนของมัน มันต้องโผล่ออกมาแน่นอน กิเลสในใจเรา มันมีความอยากของมัน มันต้องแสดงออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การแสดงออกทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้ามีสติสัมปชัญญะ น้ำใสๆ นี้ แล้วเราสังเกตดู เพราะหลวงตา ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็นท่านบอกว่า ต้องขุดคุ้ยหากิเลส คนทำสมาธิ ถ้าน้ำใสๆ เห็นตัวปลานะ ฤๅษีชีไพรสมัยพุทธกาลนะ มันเป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะมันเหาะเหินเดินฟ้าได้จิตมันสงบ น้ำมันใสตลอด แต่เขาไม่ขุดคุ้ยหากิเลสเพราะเขาพอใจในความใสนั้น เขาพอใจในสถานภาพของจิตนั้น เขาพอใจในการที่ว่าจิตนี้มันมีอภิญญา มันเหาะเหินเดินฟ้าได้ มันทายใจได้ เขาพอใจของเขา แต่เขาไม่เห็นปลา เขาไม่เห็นกิเลสไง

การขุดคุ้ยหากิเลส มันจะขุดคุ้ยยังไง มันถึงเห็นกิเลส การขุดคุ้ยนะ พิจารณาไป จนจิตเห็นอาการของจิต เพราะความคิดมันไม่ใช่จิต ความคิดเป็นเราไหม ถ้าความคิดเป็นเรานะ เราตายหมดแล้ว เพราะความคิดมันคิดมาแล้วมันหายไป ถ้าความคิดมันหายไป เรามันหายไปแล้วเราก็ต้องตายสิ ความคิดมันเดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวความคิดมันก็หายไป ความคิดไม่ใช่จิต เห็นไหม พอความคิดมันเกิดขึ้น ความคิดมันเกิดขึ้นเพราะกิเลส พอจิตมันใส พอน้ำมันใส ความคิดมันก็หยุดไป มันมาคิดเองไหม ไม่ได้ ถ้าคิดออกมานี้ มันเสวยอารมณ์ พอคิดนี่จิตมันเสวยอารมณ์ นี้ความที่มันเกิดขึ้นมา ความคิดไม่ใช่จิต จิตมันใสๆ อยู่พอความคิด มันก็จะเขย่าให้ตะกอนนั้นแวบขึ้นมา ถ้าจิตมันทัน มั้บ จับได้ นี่ไง การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นงานอันหนึ่งนะ

อย่าว่าแต่ฆ่ากิเลสเลย แค่เอ็งหากิเลสยังหาไม่เจอเลย เอ็งยังไม่รู้กิเลสเป็นยังไงเลย แล้วเอ็งบอกว่า ดู ดูแล้วแม่งสะดุดนิพพานเลย โอ้โฮ หัวทิ่มเลย มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน ถ้าไปหานั่นมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่ถ้าเดินไปสะดุดมันเลย เป็นของจริง ไม่มีทาง ไม่มีทางเพราะอะไร เพราะจิตนี้เป็นภวาสวะ จิตนี้เป็นภพ จิตนี้มันเป็นสถานที่ของมัน มันไม่มีอะไรไปสะดุดมันหรอก มันไม่มีทางจะเอาอะไรไปสะดุดมัน เพราะสิ่งที่ออกไปคือ อนุสัย คือสิ่งที่เกิดจากจิต เกิดจากภพ แล้วจะไปสะดุดที่ไหน ในเมื่อเกิดจากมัน เหมือนกับคลื่นไฟฟ้า ออกไปจากพลังงานแล้ว มันจะย้อนกลับไหม คลื่นไฟฟ้ามันก็ออกไปเรื่อยๆ จะกระจายหายไป นี่ก็เหมือนกัน ความคิดเกิดจากจิต แล้วความคิดมันออกไปแล้ว มันจะกลับมาสะดุดตัวมันไหม ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้

ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ ที่พูดนี่เพราะเขาบอกว่า หลวงตาบอกว่าห้ามพระสงบพูดไง พระสงบไม่ได้พูดนะ ไม่ได้พูด แต่นี่พูดถึงข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงว่าถ้าห้ามกันอย่างนี้นะ มันแบบว่าประสาเรา เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อว่าหลวงตาจะพูดด้วย เราไม่เชื่ออะไรเลย เราว่านี้เป็นข่าวโคมลอย เห็นไหม หลวงตาบอกว่าหมานะ ใบไม้ไหวก็เห่าแล้ว นี่ก็เหมือนกัน พอข่าวมาก็เห่าแล้ว เห่าใหญ่เลย เพราะข่าวมันมาว่า เราไม่เชื่อตั้งแต่ว่าหลวงตาพูดแล้ว เราไม่เชื่อ แต่ที่พูดนี้ พูดด้วยเห็นถึงหัวใจของคน หัวใจของคนที่ถ้าเป็นจริง เขาจะเป็นสุภาพบุรุษ เขาชอบข้อเท็จจริง เขาพูดกันด้วยเรื่องข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นเจ้าเล่ห์แสนกล ตัวเองคอยป้องกันตัวเอง คอยหลบ ตัวเองเป็นตัวตุ่น ขุดดิน ขุดไปในรูเลยนะ แล้วก็กระจายข่าว ให้เป่าลมให้ใบไม้มันไหวข้างบนไง แล้วให้กระต่ายมันตื่นตูมกันไป แต่ตัวเองเป็นตัวตุ่น มันขุดลงไปในดินนั่น มันไม่กล้าพูดเรื่องตัวเอง ไม่กล้าพูดเรื่องจริง แต่สำหรับเราเห็นไหม เราพูดอย่างนี้มาตลอด เราพูดมาตลอด เราพูดแล้วบอกข้อเท็จจริง ก็เราต้องการข้อเท็จจริง คือเราต้องการให้สังคมที่ปฏิบัติมันได้ผลจริงๆ ใครปฏิบัตินะ ตามแต่จริตของตัว ตามแต่อำนาจวาสนาของตัว ปฏิบัติเอาบุญกุศลกัน ถ้าปฏิบัติไม่ได้ผล มันก็ปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชาคือบูชาพระพุทธเจ้าเอาตัวเราบูชาพระพุทธเจ้า มันก็ได้บุญกุศลส่วนหนึ่ง ถ้าได้ข้อเท็จจริงก็ต้องตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าไม่ได้ตามข้อเท็จจริงก็ปฏิบัติบูชาเพื่อบุญกุศล ก็เท่านั้น

แต่พอปฏิบัติไป มันจะสะดุดนิพพาน คนนั้นสะดุดกันทีนึง สะดุดสองทีสามทีก็ได้นิพพานเลย อื้อหือ.. มหายานมันก็เป็นอย่างหนึ่ง เซ็นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็เข้าใจ เข้าใจกันทั้งนั้น เพราะวิธีการสอนของแต่ลัทธิ ไปดูธิเบตสิ มหายานนี่ เวลาเขานุ่งห่มเห็นไหม ทำไมต้องใช้ผ้าหนาๆ เพราะเขาอยู่ในที่สูงอากาศมันเย็น อาหารของเขา ผักเขียวนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะอุณหภูมิมันเกิดไม่ได้ อุณหภูมิความเป็นอยู่ของเขา เขาอยู่อย่างนั้น ในเมื่ออุณหภูมิ ในเมื่ออุณหภูมิของเขา ความสำคัญของชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น คำสอนของเขาก็เพื่อเข้ากับอุณหภูมิ เข้ากับสังคมอย่างนั้น

ไอ้ของเรานะ พุทธศาสนาในประเทศไทย มันเหมือนในอินเดียเลย ชมพูทวีป เพราะมันมี ๓ ฤดู มีมะขามป้อม มีสมอ แหล่งน้ำต่างๆ ฤดูกาลนี้มันแบบว่าชมพูทวีปกับเมืองไทย อุณหภูมิหรือว่าสังคมมันใกล้เคียงกัน พอใกล้เคียงกัน คำสอนอย่างนี้มันสอนโดยเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง มันชัดเจนกว่า มันชัดเจนกว่ามันเข้าถึงได้มากกว่า ก็

ว่ากันไปหลายๆ เรื่องนะ ถ้าพูดไปมันก็มากเรื่อง ฉะนั้นจึงบอกว่า มันเป็นอกาลิโก สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ สาธุ ท่านเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นโอรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตร เป็นผู้เผยแผ่ธรรมะ ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา เป็นผู้สั่งสอนพวกเรา เราเกิดมาพบท่าน เกิดมาพบสมณะเห็นไหม สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นมงคลชีวิต เราเกิดมาพบท่าน ท่านเป็นมงคลชีวิตของเรา เรานับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เราเคารพท่านด้วยหัวใจ เราไม่เอาตัวท่านเอาชื่อเสียงศักยภาพของท่านมาหาผลประโยชน์หรอก

ฉะนั้น ไม่ใช่มาพูดว่า เขาบอกหลวงตาโทรศัพท์มาสั่งมาเสียเราต่างๆ เราไม่คิดตรงนั้น เราสาธุ เราสาธุ เราเคารพครูบาอาจารย์ของเรา แต่สิ่งที่เราเอามาพูด เราเอามาพูดในทำนองที่ว่า เขาเอาสิ่งที่เราเชื่อถือศรัทธา เอามาเป็นผลประโยชน์ของการขยายความ เพื่อประโยชน์ของเขา เขาเอาสิ่งนี้มาเพื่อเป็นประโยชน์ของเขา แต่ของเรา เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราไว้เศียรเกล้า ไว้เคารพบูชา ไว้ประพฤติปฏิบัติเพื่อเรา ที่พูด พูดเพื่อเหตุนี้ ไม่ใช่พูดเพราะว่าเห็นเขาพูดแล้วอยากจะพูด อยากจะดัง อยากจะพูด พูดเพื่อเอาชนะคะคานกัน ไม่ใช่ เราสังเวช สังเวชที่ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของสังคมไทย ก็จะเอาศักยภาพของครูบาอาจารย์ที่เขาเชื่อถือศรัทธากัน มาบอกว่าสั่งพระสงบอย่างนั้นๆ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริง เป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะหลวงตาท่านไม่เคยจับโทรศัพท์! หลวงตาไม่เคยโทรศัพท์ไปหาใครหรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเราเคยอยู่กับท่าน เรารู้นิสัยท่าน เราอยู่ข้างๆ ท่าน แล้วเอ็งเป็นใคร เอ็งมาจากไหน เอ็งเป็นคนนอก แล้วเอ็งเอาเรื่องของท่านมาพูดมากระจายข่าวกัน มันเป็นเรื่องหาผลประโยชน์กันจากชื่อเสียงศักยภาพของท่าน เราพูดออกมาไม่ใช่พูดเพราะตื่นข่าวนะ ไม่ใช่พูดเพราะ โอ๋ เขาพูดแล้วแหมจะตื่นเต้นไปนะ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่นิสัยหรือศักยภาพของหลวงตาท่านจะทำอย่างนั้น แล้วถ้าเป็นจริง ดูสิท่านพูดประจำนะ พูดถึง หลวงปู่ลี ว่าหลวงปู่ลี ต้องช่วย ต้องออกมาช่วยสิ หลวงปู่ลีต้องช่วยกันหน่อย ต้องออกมาช่วย คือคนมีศักยภาพ ออกมาช่วยเพื่อมาช่วยสังคม เพื่อมาคอยชี้นำสังคม ให้สังคมมันถามมา เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านยังออกมาช่วยเลย แล้วท่านพูดกันเป็นภายใน ไม่ใช่ว่าท่านทำสำเร็จแล้วท่านมีที่พึ่งจริงแล้ว ท่านจะเก็บตัวอยู่อย่างนี้ไม่ได้ นี่หลวงตาท่านพูด ท่านทำของท่านได้จริงแล้วท่านต้องออกมาเพื่อสังคมด้วย นี่เวลาท่านพูดนะ ไปพูดกันส่วนตัว ไม่มาพูดกันอย่างนี้หรอก

แต่นี่เขาเอามาพูด เพื่อจะเป็นศักยภาพของเขา เพื่อให้เห็นว่า เพราะพวกเราก็เชื่อถือศรัทธาครูบาอาจารย์เราแล้ว ถ้าฟังอย่างนั้น ก็เท่ากับว่า อืม ใช่ แล้วเราก็เลยแบนแต๊ดแต๋เลย เราก็โดนบี้เลย ไอ้นี่พูดถึงสังคม คำว่ามันเป็นกระแสสังคมนะ แต่ใจเรา เราไม่เชื่อหนึ่ง แล้วไม่หวั่นไหวหนึ่ง แต่พูดนี้ ถึงได้บอกว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก็แล้วแต่เพื่อประโยชน์ของเขา แต่เรามีข้อมูลของเรา แล้วเราก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เราถึงบอกว่า เขาเป็นตุ่น เป็นแตนที่หลบเลี่ยงเอาตัวรอดอยู่ใต้ดินแล้วปล่อยกระแสออกมาเพื่อให้สังคมปั่นป่วน ที่พูดนี้ เราพูดเพื่อสังคม พูดเพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่ให้ใครก็แล้วแต่จะมาจุดกระแสยังไงก็ได้ ไม่ใช่ เว้นไว้แต่สังคม เช่น ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้ว แล้วพวกเราที่อยู่ในแวดวงของท่าน เคยเห็นจริตนิสัยของท่าน ถ้าไม่อยู่แล้วเขาจะพูดยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง เช่น เราจะพูดสมัยพุทธกาลสองพันกว่าปีใครจะพูดอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครยืนยัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพวกเราหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว เราจะพูดมันไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ตอนนี้หลวงตาก็ยังอยู่ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็ยังอยู่ แล้วพูดพล่อยๆ อย่างนี้ มีศีลหรือเปล่า? มีศีลจริงหรือ? เป็นพระจริงหรือ? เอวัง

จะมีอะไรไหม เดี๋ยวจะหาว่าเวลาให้พูดแล้วไม่กล้าพูด

โยม : ขออนุญาตกราบถามคราวที่แล้วที่ท่านพูดถึงว่า ไม้ผุเป็นอนัตตาไหมเจ้าค่ะ ตอนนั้นไม่เข้าใจ ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ

หลวงพ่อ : ว่าไป

โยม : คือที่ท่านชี้ว่าไม้ผุเป็นอนัตตาไหมเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : แล้วตรงนี้ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : เราอธิบายเอง เราอธิบายตรงนี้แหละ เราอธิบายว่า เขาบอกว่า สรรพสิ่งต่างๆ เป็นอนัตตา เห็นไหม มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ทุกสิ่งเป็นอนัตตาอยู่แล้วแต่เราไม่รู้ไม่เห็นเอง จริงไหม คำสอนเขานั่นแหละ อะไรก็เป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว แค่รู้เท่ามันก็จบ เราก็เลยถามกลับว่า ไม้ผุๆ นี้เป็นอนัตตาไหม อุณหภูมิความร้อนเป็นอนัตตาไหม เราถามโยมต่างหาก ทีนี้พอถามโยมแล้ว โยมกลับมาถามเราว่า ไม้ผุเป็นอนัตตาไหม ไม้ผุๆ ไม้มันผุ มันย่อยสลาย คำว่าอนัตตา คือว่าถ้าเป็นไตรลักษณ์ใช่ไหม มันมีอนิจจัง ความที่เป็นอนิจจัง มันจะเป็นทุกข์ ความทุกข์นี้จะเป็นอนัตตา ไตรลักษณะ ถ้าจิตมันเห็นไตรลักษณะแล้ว มันจะปล่อยวางเพราะการเห็นไตรลักษณะ ฉะนั้นจิตมันเห็นไตรลักษณะ

อย่างเช่นที่เราทำความสงบของใจกันอยู่นี้ มันเป็นอนิจจังไหม มันเป็นอนิจจัง เขาบอกว่าสมาธิ เขาสอนกันเองนะ ว่าสมาธิก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สมาธิก็เป็นอนัตตา ทุกอย่างก็เป็นอนัตตาอยู่แล้วไม่ต้องทำเพราะมันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว พ่อมึง! สมาธิก็เป็นอนัตตาหรือ สมาธิเป็นอนิจจัง! เพราะมันไม่คงที่ใช่ไหม สติเป็นอะไรสติน่ะ ตัวสติเป็นอนัตตาหรือ ตัวสตินะ เราจะพูดว่าสติกับสมาธิเราพูดเหมือนธาตุเลย ธาตุคือวัตถุ วัตถุมันไม่มีชีวิต สมาธินี่มันไม่มี สำหรับถ้าใครไม่ได้ทำขึ้นมา ในตำรา สมาธิก็เป็นตัวหนังสือ ส.เสือ ม.ม้า สระ อา ธ.ธง สระอิ สมาธินั่นมันชื่อ ไม่มีตัว ไม่มีข้อเท็จจริง พอข้อเท็จจริงนี่เกิดจากการกระทำของเรา สมาธิเกิดจากการกระทำของเรา ถ้าจิตเราสงบ จิตเราปล่อยวางนี่เป็นสมาธิใช่ไหม แล้วเราบอกว่า ตัวสมาธินี้เป็นวัตถุอันหนึ่ง มันเป็นอนัตตาไหม ไม่เป็น สติเป็นอนัตตาไหม ฉะนั้น เราถึงย้อนกลับมาไงเพราะคำสอนของเขาจะบอกว่า มันเป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา สมาธิก็เป็นอนัตตาแสดงว่าไม่ต้องทำใช่ไหม เพราะว่ามันเป็นอนัตตาแล้วไง ถ้าไม่ต้องทำนะก็ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มี อย่างเช่นบอกว่า เงินนี่เป็นอนัตตา แบงค์นี้เป็นอนัตตาใช่ไหม มันไม่มีตัวมันเองใช่ไหม เราก็นั่งอยู่นี่ เราไม่ทำงาน เพราะเราไม่ต้องหาตังค์ไง เพราะมันเป็นอนัตตามันไม่มี ทำไมเราต้องทำงานล่ะ เราหาเงิน เป็นอนัตตาไหม

ฉะนั้นเราบอกว่า สติ สมาธิ ไม่ใช่อนัตตา ปัญญาก็ไม่ใช่อนัตตา ฉะนั้นเราถึงย้อนกลับมาไง เรายกให้เห็นชัดๆ ว่าไม้ผุๆ นี่เป็นอนัตตาหรือเปล่า เราจะปฏิเสธคำว่าอนัตตาของเขาไง เขาว่าคำหนึ่งก็อนัตตา สองคำก็อนัตตา แล้วอะไรเป็นอนัตตาวะ! คนจะเห็นอนัตตาโดยความสมบูรณ์แบบของมันคือพระโสดาบันนะเว้ย! ขบวนการของอนัตตามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ขบวนการของอนัตตามันจะเกิดขึ้นมันต้องมีจิต พอจิตมันรู้มันเห็นของมัน ถ้าไม่มีจิตนะ มันก็เหมือนกับสสารแปรสภาพใช่ไหม แล้วมีใครไปรู้มันล่ะ ไปดูในป่าสิ ไม้ล้มอยู่ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเป็นอนัตตาไหม มันเป็นอนัตตาหรือเปล่า มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติเป็นสภาวะแวดล้อมที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่ไง เพราะมีประเด็นอย่างนี้ไงถึงบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาตินะ โยมนี่ก็เป็นพระอรหันต์กันหมดเลย เพราะโยมเกิดมาจากธรรมชาติ การเกิดการตายเป็นธรรมชาติไหม การเกิดการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่งไหม แล้วเป็นธรรมะไหม แล้วโยมก็ได้มันมาแล้วนะ แล้วเป็นพระอรหันต์กันหรือยัง เป็นพระอรหันต์กันหรือยังล่ะ ก็ธรรมะเป็นธรรมชาติไง เอ้า ก็เกิดมาจากธรรมชาติ ก็เกิดมาแล้วก็ได้ธรรมชาติมาแล้ว ทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ล่ะ?

เขาบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาก็ต่อเมื่อจิตนั้นเป็นพระอรหันต์แล้วพูด แต่พวกเราปุถุชนนี่พูดอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนกับเราไม่มีตังค์เลย ตังค์ไม่ดี ก็กูไม่มี แต่ถ้าเรามีเงินนะ มหาศาลเลย ตังค์นี้ไม่ดีมันเป็นโทษนะ แล้วเรามาแจกคนอื่น โอ้โฮ สุดยอดเลย แต่เรานี่ไม่มีตังค์เลย ตังค์ไม่ดี อสรพิษ ไม่หา ไม่เอา ตังค์ไม่ดี แต่กับเรามีเงินทองมหาศาลเลย ตังค์เก็บไว้เป็นภาระต้องแจก แตกต่างกันไหม ฉะนั้นที่เขาบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เราถึงบอกว่า ชิงสุกก่อนห่าม รู้ก่อนขาย มันก็เลยเป็นโทษอย่างนี้ไง ฉะนั้นเราถึงบอกว่า คำว่าเป็นอนัตตา อนัตตาอะไรนี่แล้วไม้ผุเป็นอนัตตาไหม เพราะไม้มันผุ มันมีสารอินทรีย์ย่อยสลายตัวมันเอง มันเป็นอนัตตาไหมล่ะ เราเอาไม้ผุเพราะมันเห็นชัดๆ ไง เห็นชัดๆ ว่าไม้ มันผุ มันย่อยสลายตัวมันเอง แล้วบอกว่านี่เป็นอนัตตา มันเป็นสภาวะ เป็นการย่อยสลายโดยธรรมชาตินะ

คำว่าอนัตตานี่นะ มันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า คือมีสิ่งมีชีวิต คือจิตรับรู้ จิตเห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลง จิตเห็นโทษของมัน จิตนี้มีปลงธรรมสังเวช จิตนี้มันมีความกระเทือนใจ จิตนี้มันมีความสำรอก จิตนี้มีการกระเทือน สภาวะอนัตตามันสำรอกตัวมันเองเพราะมันรู้มันเห็นสภาวะ นี่ธรรมที่เป็นสัจธรรม มันเป็นมรรคผลในใจไง มันถึงจะเป็นอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร อนัตตาเพราะผู้รู้ผู้เห็นมันรู้ อนัตตาเพราะมันมีผู้รู้ผู้เห็น มีเจ้าของมีการกระทำมีมรรคมีผล มีผู้ได้เหตุได้ผลนั้นไง พระพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ ปรารถนาตรงที่จิตรู้จิตเห็นจิตต่างๆ เขาก็บอกว่า “อ้าว ก็รู้เห็น ก็กูดูอยู่ ก็เห็นไง”

เห็นโดยการสร้างภาพ ที่เขารู้เขาเห็น เขาเห็นโดยการสร้างภาพเพราะจิตมันไม่เป็นไป จิตมันไม่เป็นไปเพราะจิตมันไม่เป็นเอกภาพ จิตมันไม่หด ไม่เข้ามาในตัวของมันเองไง จิตมันเหมือน น้ำขุ่น น้ำมีตะกอน จิตไม่เป็นเอกภาพ ตะกอนนั้นคือกิเลส แต่มันมีความรู้สึก กิเลสกับจิตมันอยู่ด้วยกัน พอกิเลสกับจิตอยู่ด้วยกันมันออกรู้ออกเห็น พอมันออกรู้ออกเห็นมันก็รู้เห็นโดยธรรมะพระพุทธเจ้าเพราะมันจำได้ พอมันจำได้ มันก็สร้างภาพอย่างนั้น พอสร้างภาพอย่างนั้น “อ้อ.. ใช่ สติมันเป็นอนัตตา โอย สมาธิเป็นอนัตตา” ปวดหัว กูปวดหัว เพราะกูปฏิบัติมาไม่เป็นอย่างนี้โว้ย!

สมาธิมันจะเป็นอนัตตาได้ยังไงเพราะกูสร้างสมาธิแล้วกูทำสมาธิมาเกือบเป็นเกือบตายกูไม่รู้ว่าเป็นอนัตตาเป็นยังไง มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ อยู่กับตัว มันเจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอนัตตาได้ยังไง แต่พอมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันนะ พอมันจับจิตจับอาการของจิตได้จับขันธ์ได้ วิปัสสนาของมันได้นะ วิปัสสนาไป นี่มันเริ่มเป็นอนัตตา มันเริ่มย่อยสลายเห็นไหม มันปล่อย ปล่อยเป็นตทังคปหาน ปล่อยๆ พอมันขาด พั้บ! อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้นี่หว่า มันเป็นอย่างนี้นี่หว่า อ๋อยังไงล่ะ อ๋อยังไง เดี๋ยวมึงก็อ๋อ กูก็อ๋อกันอยู่นี่แหละ เพลงใหม่ออกแล้ว อ๋อๆๆ เลยล่ะมึง จะมีเพลงใหม่นะ เพลงที่แล้ว เปิดไปแล้ว สบายๆ ไอ้เบิร์ดมันร้องใช่ไหม เพลงต่อไปกูจะแต่งเอง อ๋อ อ๋อ อ๋อ เลยล่ะ คนไม่เป็นมันก็ไม่เป็นอยู่วันยังค่ำ

ทีนี้คำที่เราบอกว่า มันเป็นอนัตตาไหม เราจะบอกให้โยมเห็นโทษของมันว่า ถ้าสิ่งใดยังไม่รู้แจ้งไม่รู้จริง อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าเราบอกว่าเป็นอนัตตา เราก็เข้าใจตามอนัตตาแล้ว มันก็สิ้นกระบวนการของพระพุทธเจ้าสอนแล้วไง แล้วจะทำอะไรต่อไปล่ะ ก็อนัตตากูก็รู้แล้ว อะไรกูก็รู้แล้ว แล้วกูได้อะไรล่ะ ก็ได้โง่ไง ได้โง่ ดับเบิ้ลโง่

มีอะไรอีก มีอีกไหม เอามาสิ เวลาให้พูดล่ะไม่พูด เอาเลย

โยม : หลวงพ่อ อยากถามว่า จิตกับใจมันเหมือนกันไหมคะ

หลวงพ่อ : ประสาเรานะ ถ้าประสากรรมฐานเรานะ เหมือนกัน แต่ในปริยัติเขาว่าไม่เหมือนกัน จิตมันเป็นสภาพจิต ใจมันออกรู้หรือไงเนี่ย เขาบอกว่ามันมีความรับรู้ เราดูตำราอยู่ ตำราว่าจิตมีสภาพแบบนี้ ใจมีสภาพแบบนี้ ถ้ามันจิตเฉยๆ เขาว่ามันเป็นจิตยังงี้ ใจมีสภาพออกรู้แล้วมันมีส่วนผสมอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เขาพูดเป็นกรณีอย่างนี้มันจะเข้าสู่อภิธรรม ถ้าอภิธรรมเขาจะบอกเลย จิตมีสภาพแบบนี้ นี่เรียกใจนะ ใจออกรู้ว่าเป็นใจ ถ้าจิตดูไปธรรมดามันจะเรียกจิต แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเราเพื่อความชัดเจน จิตกับใจ ใช้แทนกันได้ ใจก็ใจเรา ใจของเรา จิตของเรา มันก็มีอยู่กับเรา มันแทนกันได้ไง เพื่อไม่ให้เกิดการฟั่นเฟือน แล้วพอเราภาวนาเข้าไปเราจะรู้เลย จิตกับใจเป็นยังไง เพราะว่าอย่างใจ เจตสิกเห็นไหม เจตสิกคือมันมีการรับ เวลาเราพูด เสียงมากระทบเขาเรียกเจตสิก คือรับรู้เข้ามา เจตนานี่มันส่งออกเห็นไหม เจตนาคือเราต้องคิดใช่ไหม เราถึงมีเจตนาว่าอยากจะทำอะไร ใช่ไหม เราตั้งใจทำอะไรนี้คือเจตนาใช่ไหม เห็นไหม เจตสิกคือการรับเข้า การรับเข้าสู่จิต เจตนาคือส่งออกมาจากมัน เวลาปฏิบัติไป นี่เราพูดเรื่องอาการก่อนนะ พออาการอย่างนี้ปั๊บ ทางอภิธรรมเขาบอกเลย จิต ๑๐๘ ดวง ถ้าเจตสิกนี้เป็นดวงหนึ่ง เจตนานี้เป็นดวงหนึ่ง ตัวใจเป็นดวงหนึ่ง รวมกันได้ ๑๐๘ ดวง

แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเรานะ หนึ่งเดียว ขณะที่รับรู้เจตสิกก็หนึ่งเดียว รับรู้เข้ามา แล้วมันก็รับรู้ไปถึงใจใช่ไหม แล้วถ้ามันเจตนาออกไปมันก็ออกไปหนึ่งเดียวเหมือนกัน มันจะหนึ่งตลอดไง หนึ่งคือรับรู้อารมณ์ได้หนึ่งตลอด ถ้าภาวนานะ กรรมฐานเราจะรู้ว่า หนึ่งๆๆๆๆ แต่ถ้าเป็นในอภิธรรมนะ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ มันวนไง แล้วเขาบอกว่า ๑๐๘ ดวง ๑๐๘ ดวงกูก็ยอมรับ ๑๐๘ ดวง แต่ถ้าเป็นสมาธิ หนึ่งเดียวโว้ย! ถ้าเป็นสมาธิ จิตมันเป็นหนึ่ง พอจิตเป็นหนึ่ง จิตออกทำงาน ทำงานยังไง มันก็มีสติพร้อมไปเห็นไหม ถ้าปฏิบัติไป เขาจะบอกว่า ๑๐๘ ดวงใช่ไหม ถ้าเขาอธิบายว่า ใช่ กูก็ว่า ใช่ แต่มันเป็นกิริยาที่สืบต่อกัน มันเป็นการสืบต่อกัน เราก็รู้เราก็เห็นได้ เอ้า ของที่มันสืบต่อมา แล้วเราเป็นหนึ่งมาตลอด เราก็เห็นตลอด เราไม่เห็นว่ามันสืบต่อกันมาหรือ เราก็เห็น แต่ถ้าเห็นอย่างนี้ เขาเรียก อดีต อนาคต เห็นไหม ที่ว่ามันไม่เป็นปัจจุบันที่แก้กิเลสไม่ได้ กูก็รู้ มึงต่างหาก ไม่รู้ มึงจะเอา ๑๐๘ ดวง มึงก็ต้องเรียงกัน ๑๐๘ เข้า ๑๐๘ ออก อยู่นั่น ไอ้กูแม่งเอา หนึ่งๆๆๆๆ มันจะหยุดตรง ๑๐๘ ให้เป็นหนึ่ง มันหยุดตรงที่ ๙๙ ก็เป็นหนึ่ง เพราะมันหนึ่งที่ ๙๙ เพราะเป็นหนึ่งที่ตรง ๑๐ ก็เป็นหนึ่ง เห็นไหม แต่ถ้าเป็น ๑๐ ต้องเป็น ๑๐ ถ้า ๙๙ มันก็ เห็นไหม ย้อนไปย้อนมา มัน.. ยังไม่ปฏิบัติเอ็งยังไม่รู้หรอก ว่าจิตมันเร็วแค่ไหน พอจิตมันเร็วแค่ไหนแล้วความรู้สึกความคิดมันเร็วแค่ไหน แล้วก็ว่า นี่ก็ปัจจุบัน ปัจจุบันทำไมจะไม่ใช่ปัจจุบันล่ะ ก็กูคิดเมื่อวานนี้ กูก็ทำเดี๋ยวนี้ ก็ปัจจุบันเว้ย กูคิดมันตั้งแต่เมื่อวานใช่ไหม จะไปใส่บาตร เช้าขึ้นมาก็ทำอาหารมาเลย พอไปใส่บาตร นี่ก็ปัจจุบันไง คิดมาตั้งแต่เมื่อวาน มันยังเป็นปัจจุบันของมันอยู่เลย

จิตของคน วุฒิภาวะมันอ่อนนะ เขาก็ว่าเขาคิดดีคิดถูกมาหมดล่ะ แต่พอภาวนาเข้าไปนะ โอ้โฮ ๆ นี่ บุคคล ๘ จำพวกไง จิตนี้หนึ่งเดียว แต่มันพัฒนาเป็น โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันก็หนึ่งเดียวนั่นแหละ แต่เป็น ๘ ระดับ ทีนี้ ๘ ระดับ นี่ก็คือว่า บุคคล ๘ จำพวก หมายถึงจิตอยู่ในระดับไหน ก็คนเดียวนั่นแหละ นี่พระพุทธเจ้าพูดไว้นะ ถ้าไม่ได้ปฏิบัตินะ ตรงนี้ก็จะงงตาย แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าอีกเพราะอะไร เพราะถ้าจิตหนึ่งเดียวก็ปุถุชน แต่เวลามันเปลี่ยนไปเป็นโสดาปัตติมรรคก็รู้นี่ เพราะระดับของจิตมันยกขึ้น ระดับของจิตยกขึ้นนะ ถ้าไม่ยกขึ้น โสดาปัตติมรรค กับ ปัญญาอบรมสมาธิจะแตกต่างกันได้ยังไง ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาปุถุชนเรา อย่างนั้นพอเราคิดเรื่องมรรคเราก็เป็นโสดาปัตติมรรคหมดสิ เอ้า โยมคิดเรื่องมรรคเลย งานชอบ เพียรชอบ ความคิดชอบ ชอบหมดเลย เป็นโสดาปัตติมรรคไหม มันไม่ใช่โสดาปัตติมรรคเพราะอะไรรู้ไหม เหมือนนักโทษ เราไม่ได้ตัวจำเลยขึ้นมา เราจะฟ้องใคร เราไม่ได้ผู้ทำความเสียหายมา เราจะไปฟ้องใคร ผมฟ้องนาย ก มันโกงผมไปห้าล้าน มันอยู่ไหน มันยังหนีอยู่ ผมฟ้อง แล้วฟ้องนาย ก แล้วนาย ก อยู่ไหน มันยังหนีอยู่ แล้วนาย ก เข้าคุกได้ไหม นี่ความคิดปุถุชนไง

แต่ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค ผมฟ้อง นาย ก นาย ก อยู่ในมือนี่ไง ไอ้ ก. มันอยู่นี่ ๆ นี่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล นาย ก มันทำผิด เอานาย ก เข้าคุก ศาลตัดสิน โชะ โดยอริยสัจ โดยความจริง ตัดสินเลย ไอ้ ก. มันผิด เข้าคุก โสดาปัตติผล เปลี่ยนไปเป็นมรรคเป็นผลไปเลย มันมีของมัน ฉะนั้นที่ว่า กี่ดวงๆ โอ๊ย.. ไอ้ตรงนี้เขาถากถางเราเยอะ ไอ้กี่ดวงๆ นี่ถากถางเยอะมาก แต่ถากถางยังไงก็ให้ถากไปเถอะ เพราะมึงถากไม่โดนกูหรอก กูนั่งอยู่ เหอะๆๆๆ เอ็งถากอยู่โน่นไกลกูฉิบหายเลย ร้อยกิโล ถากไปเลย ถากไปเถอะ ไม่โดนกูหรอก ฉะนั้น จิตกับใจ มันใช้แทนกันได้ ใช้แทนกันหมายถึงว่า ในเมื่อเราไม่ได้ฟั่นเฟือน แล้วจากการกระทำเราจับต้องอย่างนี้ แต่พอเราเข้าไปรู้ไปเห็นเข้านะ ถ้าบอกว่ามันเป็นบาลีมันละเอียดกว่านี้ ฉะนั้นบางอย่าง อย่างที่ว่าเราพูดความรู้มันรู้สึก แต่มันพูดออกมาไม่ทัน คือเวลาพูดมันต้องสมมุติไง เราจะบอกว่านี่สีแดง เรานึกเรื่องสีได้นะ แต่สีแดงมันเป็นยังไงว้า.. โห.. กว่าจะคิดได้นะ ๕ ปี อย่างนี้ พูดไม่ทัน มันรับรู้อยู่แล้วไง คำว่าสีแดง ทุกคนรู้ว่าสีแดงมันคืออะไรใช่ไหม ถ้าเราพูดสีผิด ความหมายจะเพี้ยนไปเลย ฉะนั้นพอเรามีความรู้สึกอย่างนี้เพื่อต้องการจะพูดให้โยมเข้าใจ เราจะบอก แล้วสีแดง บางทีมันนึกสีแดงไม่ออก มันรู้ว่าสีแดงแล้วนะ นึกใหญ่เลยนะ เพราะสีมันก็หลายสีใช่ไหม เราจะระบุยังไง

นี่เราจะพูดถึงจิตหรือใจ ที่เราระบุ ถ้าให้มันชัดๆ อย่างนี้ ถ้าชัดๆ อย่างนี้เดี๋ยวต้องคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วเราไปพูดไว้ในคอมพิวเตอร์ ต่างคนต่างกดเพื่อไม่ให้พลาดไง ถ้าพูดอย่างนี้พลาด พลาดเดี๋ยวมันเอากุญแจมือมาใส่ แหะๆ เดี๋ยวมันจับใส่กุญแจมือเพราะพูดผิด ต้องให้กูไปคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วมาคุยกันในคอมพิวเตอร์ กูจะไม่ให้ผิดเลย เฮอะๆ เอ้า มีอะไรอีกไหม จบเนาะ

เอ้า มีไหม ว่ามา โอ้ย.. พวกนี้เขาคุยทุกวัน เขาคุยกันจนหมดพุงแล้ว จบ

โยม : สงสารอาจารย์กลัวว่าจะเหนื่อย

หลวงพ่อ : ตัวเองจะพูดล่ะไม่ว่า พูดมา เอ้า พูดมาเลย

โยม : เคยได้ยินคำว่า อรหันต์จ้อยค่ะ ท่านอาจารย์

หลวงพ่อ : อะไรนะ

โยม : อรหันต์จ้อย อรหันต์จ้อย

หลวงพ่อ : อรหันต์จ้อย ?

โยม : คือมีอาจารย์องค์หนึ่งนะคะ สอนว่า เวลาทำ ให้เรา ไม่ต้องคิดว่าเราไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีแม้กระทั่งตัวเราเอง ดิฉันก็ถามท่านไปว่า อ้าว ในเมื่อเราไม่มี แล้วจะเอาอะไรเป็นฐาน ฐานอยู่ตรงไหน เวลาจะทำ ท่านก็บอก ก็ไม่ต้องมีฐาน ยังไงก็ไม่เข้าใจ จะมากราบเรียนถามอาจารย์ว่าอย่างนี้มีหรือเปล่าคะ ปฏิบัติแบบนี้

หลวงพ่อ : ไอ้นั่นอะไรนะ

โยม : เขาอ้างหลวงปู่มั่นด้วยนะคะอันนี้

หลวงพ่อ : ไม่มีหรอก เราจะบอกไม่มี มันไม่มีเพราะว่ามงคล ๓๘ ประการ ที่ว่า สนทนาธรรม มันมีอย่างนี้ ถ้าพูดถึงอย่างนี้นะ เราไม่ต้องฟังเลย ถ้าพูดอย่างนี้เราวางไว้เลย วางไว้แล้วไม่ฟังแล้ว เพราะมัน ไม่ต้องมีอะไรเลย ไม่ต้องมีอะไรเลย มันมีนะ คนเราหลงตัวเอง เราเคยเจออยู่ พระเล่าให้ฟัง เราไม่เคยเจอพระองค์นี้จริงๆ เขาถามว่าพระองค์นี้เกิดมาจากไหน บอกเกิดมาจากธาตุ ๔ ครูบาอาจารย์เรานะเฉยเลยนะ ท่านพูดกับเราทีหลังนะ แม้แต่ชื่อพ่อแม่มันยังจำไม่ได้เลย แต่จะอวดตัวเองว่าเกิดจากธาตุ ๔ เพราะคนมันคือธาตุ ๔ ใช่ไหม จะอวดว่าเรานะ พ้นจากสมมุติไง ถ้าชื่อแม่ก็คือสมมุติใช่ไหม แม่เราชื่อนางนั้น พ่อเราชื่อนายนี้ มันเป็นสมมุติใช่ไหม จะอ้างว่าตัวเองนี้ เราเกิดจากธาตุ ๔ เพราะถ้าพ่อแม่ก็ประกอบไปด้วยดินน้ำลมไฟทั้ง ๒ คน แต่ดินน้ำลมไฟนั่น ใช่ ถ้ามันเป็นปรมัตถ์ใช่ไหม แต่ในเมื่อเราเกิดโดยสมมุติ เรามีพ่อมีแม่ไง เราก็ต้องบอกว่า เราเกิดจากพ่อแม่นั้น แต่เขาบอกว่าเราเกิดจากธาตุ ๔ เลยย้อนกลับมานี่ไง

ที่บอกว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย แล้วทำไมพระพุทธเจ้าสอน พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง สติกับพุทโธ สติกับธัมโม ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คนเราไม่เริ่มต้นแล้วจะเริ่มจากไหน นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ จะปฏิบัติอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่ทำไมท่านเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงตาจะเอาอันนี้ไปให้ท่านฉัน ท่านบอก ไม่ได้ๆๆ ท่านบอกไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะตาดำๆ คือ พระในวัดมองอยู่

พระในวัดเป็นเด็กๆ พระในวัดคือเข้ามาปฏิบัติใหม่ คนที่เข้ามาปฏิบัติใหม่ก็หวังพึ่งครูบาอาจารย์ หวังความมั่นใจว่า ครูบาอาจารย์นี้เป็นครูบาอาจารย์เราจริง ทีนี้ครูบาอาจารย์เราจริงถ้าเราเห็นว่าครูบาอาจารย์ทำถูกต้อง เราก็จะเคารพบูชา แล้วทุกคนก็ศึกษาธรรมวินัยแล้วใช่ไหม แล้วอะไรที่ฉันได้ฉันไม่ได้ แล้วตอนนั้น หลวงตาจะพูดเอง ท่านเป็นวัณโรค แล้วตอนเช้าๆ ท่านจะฉันอาหารไม่ได้เพราะคนอายุ ๘๐ แล้วเป็นวัณโรค พอสุดท้ายแล้วยังไม่ถึงเพลใช่ไหม หลวงตาท่านก็พยายามเอาน้ำมะพร้าว น้ำนะ น้ำมะพร้าวนี้ไปให้ท่านดื่ม เพราะท่านป่วย ท่านบอกว่า ดื่มไม่ได้ ดื่มไม่ได้ หลวงตาบอกดื่มไม่ได้เพราะอะไร ท่านบอกไอ้ตาดำๆ มันมองอยู่ หลวงตาพยายามอ้อนวอนนะ บอกว่า หลวงปู่มั่น ท่านชราภาพแล้ว แล้วท่านผู้เฒ่า ขอให้ดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อให้ร่างกายมันได้มีสารอาหารบ้าง ท่านบอก ไม่ได้ ไม่ได้ ทำไมท่านเก็บหอมรอมริบล่ะ นี่ ขนาดลูกศิษย์ลูกหาทุกคนปรารถนาทั้งนั้นเลยแต่ท่านไม่ทำ นี่ไง ขนาดที่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเห็นไหม ท่านยังทำเป็นแบบอย่าง

แล้วบอกไม่มีอะไรเลยหรือ มีเว้ย! มีร่างกายของหลวงปู่มั่นนี่ไง พอหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายนั้นก็ไปเผาทิ้งไง แต่มันยังมีร่างกายนี้อยู่ มันยังมีสมมุติอยู่ มันยังมีชีวิตอยู่ไง พระพุทธเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ไง ขนาดพระอรหันต์ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังต้องฉันข้าวอยู่ ท่านยังมีชีวิตประวันของท่านอยู่ แล้วนี่บอกว่าไม่มีอะไรเลย แล้วมึงจะเริ่มต้นกันที่ไหน นี่ เห็นไหม แล้วอ้างหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนี่ใครก็อ้างได้ หลวงปู่มั่นก็เหมือนพระพุทธเจ้าล่ะ เป็นบุคคลสาธารณะ โยมศรัทธาพระองค์ไหน โยมก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์องค์นั้นได้ไหม โยมก็ว่าได้ จริงไหม

นี่ก็เหมือนกัน เขาปฏิบัติมา หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงเขาเป็นลูกศิษย์ได้ไหม ก็ได้ ก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นโดยเขาคิดเองไง หลวงปู่มั่นบอกเลย ลูกศิษย์หรือเปล่าไม่รู้ ถามมันดู ฉะนั้น จะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นหรือไม่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่สำคัญ สำคัญว่าพูดข้อเท็จจริงมา เป็นเหตุเป็นผลเป็นประโยชน์หรือเปล่า

มีโยมคนหนึ่ง ไปหาหลวงตาตอนที่ศรัทธามากๆ แล้วก็ไปกราบหลวงตาใหญ่เลย อู้หูย... ดิฉันนี่ศรัทธาสายหลวงปู่มั่นมาก ดิฉันศรัทธามากๆ หลวงตาท่านพูดเองนะ “เรามั่นใจว่า ในลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและชั่ว ดีก็มี ชั่วก็มี” เราก็ฟังอยู่นะ สะอึกเลย เราถึงเคารพน้ำใจหลวงตามาก แล้วเรามาวิเคราะห์ของเราเอง เพราะหลวงตาท่านพูดคำนี้มาเพราะอะไร เพราะคนๆ นี้เขาศรัทธามาก ในสายหลวงปู่มั่น แล้วไปหาพระในสายหลวงปู่มั่น ทุกองค์ก็ว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วถ้าไปเจอพระที่ทำตัวผิดๆ แล้วถ้าเขาจับได้ เขาจะเสียศรัทธาไหม แต่ท่านพูดไว้ก่อนเลยว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้เยอะมาก แล้วเราก็มั่นใจ ท่านพูดอย่างนี้นะ “เรามั่นใจมากว่าในพระสายหลวงปู่มั่น มีทั้งดีและชั่ว” นี่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริงๆ นะ แล้วเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นแบบที่ไม่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นเลยอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็เยอะ อย่างเช่นเรา เราเกิดไม่ทัน หลวงปู่มั่นท่านเสีย ๙๒ เรายังไม่เกิดเลย เราไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นเลยเพราะเราเกิดไม่ทัน อย่างเช่นเราไม่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นเลย แต่ก็อ้างว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ แล้วมันเชื่อได้ยังไงล่ะ เรายังเกิดไม่ทันเลย ไอ้อย่างนี้ ใครๆ ก็พูดได้

อย่างที่พูดเมื่อกี้เห็นไหม อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเถิดจงมีธรรมเป็นที่พึ่ง แต่ธรรมอยู่ในหัวใจของใคร ถ้าธรรมอยู่ในหัวใจของใครเขาจะไม่พูดปดพูดโกหก ถ้าเราพูดโกหก โยมๆ รับ รับศีลๆ โยมๆ รับศีลๆ เราจะหาศีลอะไรไปให้โยม ก็กูยังโกหกอยู่เลย ศีล ๕ ไม่ให้มุสา แล้วเราจะให้ศีลโยม เราจะเอาอะไรไปให้ในเมื่อยังโกหกอยู่ ฉะนั้น คำพูดอย่างนั้น ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริงๆ ก็เยอะมาก แต่ที่บอกว่า “ไม่ต้องมีอะไรเลย” นี่มันหลักลอย ฟังหลวงตาสิ พุทโธนะ สตินะ ตลอดเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเริ่มต้นพื้นฐานเด็กๆ ต้องให้มันยืนให้เป็นก่อน การฝึกสอนภาวนา มันต้องให้เด็กทำมาหากินเป็น เด็กยืนอยู่โดยตัวเองได้ แล้วเด็กคนนั้นมันจะเจริญมา ไม่ใช่สอนอย่างคนอายุ ๘๐ คนอายุเจ็ดแปดสิบเขาอยู่กับโลกมาทั้งชีวิตเขาเบื่อหน่ายแล้ว ไอ้นั้นก็กรณีหนึ่งนะ เจ็ดแปดสิบแต่ถ้ายังทำสมาธิไม่เป็นมันก็เหมือนเฒ่าทารก เฒ่าทารก เหมือนอ่อนๆ เหมือนเด็กๆ นั่นแหละ

จิตของคนถ้ายังยืนไม่ได้ สอนอะไรไปไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าจิตของคนยังยืนไม่ได้ เราเอาเงิน ล้านสองล้านแล้วไปให้เด็กๆ มันใช้สิ ดูซิว่าเด็กคนไหนมีเงินล้านสองล้านแล้วมันจะเอาตัวมันรอดได้ เด็กทารก เอาเงินให้มันสิ แม้แต่ทองบาทสองบาทไปแขวนคอมันยังอันตรายเลย อย่าว่าแต่เงินเป็นล้านๆ แล้วให้มันเอาไป

นี่ก็เหมือนกัน นี่จะบอกว่าสติปัญญา การทำสมาธิที่ว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ มึงกลับไปคิดใหม่ พูดผิด พูดใหม่ได้ มึงกลับไปคิดใหม่ นี่พูดถึงว่า อรหันต์จ้อย มันไม่มีหรอก คนภาวนาขนาดไหน พ่อแม่ถ้ารักลูก พ่อแม่ต้องให้ลูกมีการศึกษา พ่อแม่ต้องให้ลูกมีอาชีพ พ่อแม่ต้องให้ลูกยืนในสังคมได้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนบอกเอ็งเกิดมาแล้วไม่ต้องเรียนหนังสือพ่อแม่จะเลี้ยงเอ็งตลอดชีวิต เอ็งไม่ต้องทำอะไรเลย สบายๆ ไปวันๆ กูให้มึงกินทั้งชาติเลย พ่อแม่คนไหนสอนอย่างนั้นบ้าง ไม่มีหรอก แล้วธรรมะนี้ละเอียดอ่อนกว่าเรื่องวิชาชีพมากนัก มากนักตรงไหน มากนักตรงวิชาชีพ เรามีอาชีพ เราก็ทำอาชีพได้แล้ว แต่ใจนี้ ใครรักษามันได้ ใจ ใครรักษามันได้

ที่เราออกมา ออกมาพูดอย่างนั้นเพราะเราสังเวชตรงนี้ไง สังเวชที่ว่าสังคมไทย มันจะเหลวแหลกเรื่องการปฏิบัติ เอาหัวเดินต่างเท้ากัน สบายๆ อยู่นั่นนะ จนกูรำคาญ เขาเอาตีนเดิน เอาเท้าเดิน ไม่เอาหัวเดินหรอก ไม่มีใครเอาหัวเดินต่างเท้า แต่ปัจจุบันนี้กำลังจะเอาหัวเดินต่างเท้ากัน เราถึงออกมาพูดไง ที่ออกมาพูด ต้องการให้สังคมเอาเท้ามาเดินอย่างเก่า ให้เอาเท้ามาเดินอย่างเดิม ไม่ใช่เอาหัวเดิน มันจะขึ้นแล้วนะ เดี๋ยวศาลาแตก จบไหม เอวัง